วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร...


พระเจ้าอยู่หัวยังอยู่
นับเป็นห้วงเวลาที่ยากจะทำใจ  เมื่อคนไทยต้องสูญเสียพระเจ้าอยู่รัชกาลรัชกาลที่ 8 ผู้ทรงงามทั้งพระสิริโฉม  งามทั้งพระราชจริยวัตร  และยังทรงเป็น  ความหวัง” อันสดใส ด้วยทรงริเริ่มปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างพระเจ้าแผ่นดินยุคใหม่” เสด็จฯ เยี่ยมเยียนพสกนิกรอย่างใกล้ชิด โดยมีพระอนุชาธิราชทรงร่วมปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างเข้มแข็ง
 เมื่อมาเสด็จสู่สวรรคาลัยรวดเร็วเช่นนี้ ความหวังอันเรืองรองที่ฉายโชนอยู่ในใจคนไทยก็ดูคล้ายจะดับวูบไปชั่วขณะและนี่คือพระราชดำรัสปลุกปลอบ ที่กลายเป็นเปลวเทียนจุดสว่างกลางความมืดมนในใจราษฎร
พระเจ้าอยู่หัวยังอยู่ พระอนุชาต่างหากที่ไม่มีแล้ว

ทิ้งได้อย่างไร
          19 สิงหาคม 2489 หลังจากทรงรับอัญเชิญขึ้นครองราชย์ได้สองเดือนเศษ  ก็ต้องทรงอำลาประเทศไทยเพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปเรียนต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
                ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งแล่นจากพระบรมมหาราชวัง  ผ่านถนนราชดำเนินกลาง มุ่งสู่สนามบินดอนเมือง  ท่ามกลางประชาชนชาวไทยที่มาส่งเสด็จสองข้างทาง
                อาจด้วยอารมณ์อ้างว้างและใจหาย ผลักดันให้ชายคนหนึ่งในหมู่พสกนิกรร้องตะโกนขึ้นมาขณะที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านว่า
อย่าละทิ้งประชาชน !”
                ไม่มีใครรู้ความในพระราชหฤทัยที่มีต่อเสียงร้องนั้น จนเมื่อได้พระราชทานพระราชนิพนธ์
เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ลงตีพิมพ์ในหนังสือ วงวรรณคดี อีกหลายเดือนต่อมาว่า
                ...อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งได้อย่างไร...
                ความในพระราชหฤทัยที่มีต่อประชาชนนี้ บัดนี้มีอายุถึงหกสิบปีแล้ว แต่ยังมีคนไทยผู้ใดลืมได้ลง

ของมีค่าหายาก
                ในปี พ.ศ.2498 เมื่อชาวอีสานทราบข่าวดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจะเสด็จฯ เยี่ยมอีสานเป็นเวลายาวนานถึง 19 วัน ระหว่างวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 2498 จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวอีสานจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจเพียงใด
                เพราะอีสานเวลานั้นแห้งแล้งเหลือแสน ยังไม่มีอ่างเก็บน้ำชลประทานดังเช่นปัจจุบัน เส้นทางรถยนต์ในยุคนั้นก็ยังเป็นดินแดงๆทุรกันดาร น้ำพระราชหฤทัยที่แสดงออกด้วยการเจาะจงเสด็จฯ เยี่ยมอีสาน จึงเป็นเสมือนน้ำฝนฉ่ำที่หยาดลงมาบนผืนดินที่แห้งผาก
                ยังไม่ทันที่พระองค์จะเสด็จฯ  มาถึง  น้ำพระทัยที่เย็นดุจสายฝนหยดแรกก็หยาดนำทางลงมาเสียแล้ว  เมื่อมีข่าวว่า กรมทางหลวงเตรียมนำ น้ำ มาราดถนนทางเสด็จพระราชดำเนินเพื่อมิให้ถนนเกิดฝุ่นแดงคลุ้งเมื่อรถพระที่นั่งแล่นผ่าน
                พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งห้ามว่า ไม่ให้นำน้ำซึ่งเป็นของที่มีค่าหายากมาราดถนนรับเสด็จ แต่ให้สงวนน้ำไว้ให้ราษฎรใช้อาบกิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น